“ออฟฟิศยุคเก่า” กำลังจะหายไป? กับ 10 เทรนด์ Workplace แห่งอนาคต

เปลี่ยนมุมมอง: ออฟฟิศไม่ใช่แค่ที่ทำงาน แต่คือพื้นที่แห่งการเปลี่ยนแปลง มาอัพเดท 10 เทรนด์ Workplace แห่งอนาคต

ในโลกที่การทำงานไม่ได้หยุดนิ่ง Workplace 2025 กำลังก้าวข้ามแนวคิดดั้งเดิมของ “สถานที่ทำงาน” และกลายเป็น พื้นที่แห่งการเปลี่ยนแปลง ที่ช่วยให้ผู้คนเติบโต พัฒนา และค้นพบตัวเองใหม่ในทุก ๆ วัน และนี่คือยุคของ Transformation Economy ที่เปลี่ยนโฟกัสจาก “สิ่งที่เราทำ” ไปสู่ “สิ่งที่เราเป็น” ออฟฟิศไม่ใช่เพียงแค่โต๊ะ เก้าอี้ หรือห้องประชุม แต่คือพื้นที่ที่ออกแบบมาให้เรามีส่วนร่วมกับงาน อย่างตั้งใจ กระตุ้นความคิดสร้างสรรค์ เชื่อมต่อกับผู้คนในระดับที่ลึกขึ้น และสร้างการเปลี่ยนแปลงที่ยั่งยืนในเส้นทางอาชีพ และเป็นสถานที่ส่งต่อแนวคิดและวัฒนธรรมองค์กรออกสู่ภายนอก

 

ปี 2025 กำลังจะมาถึง และรูปแบบการทำงานจะเปลี่ยนไปอย่างไร?

 

Photo by Austin Distel on Unsplash

 

1. เทรนด์มาแรง: พื้นที่สร้างประสบการณ์แบบ Immersive 

เทรนด์ขาลง:  มุมถ่ายรูปเก๋ ๆ Instagramable

ลืมภาพออฟฟิศที่มีมุมถ่ายรูปสวยๆ ไว้เช็คอินในโซเชียลไปได้เลย เพราะเทรนด์การออกแบบพื้นที่ทำงานยุคใหม่กำลังมุ่งสู่การสร้าง ‘ประสบการณ์เชิงลึก’ ที่สร้างความประทับใจที่ยาวนานกว่าแค่ถ่ายภาพลงโซเชี่ยลเพียงชั่วครู่

ลองนึกถึงการจัดโซนทำงานที่ผสมผสานทั้งกลิ่นหอมจากต้นไม้ในสวนจิ๋ว เสียงน้ำไหลจากน้ำพุขนาดเล็ก และแสงธรรมชาติที่ส่องผ่านกระจก – องค์ประกอบเหล่านี้ไม่ได้มีไว้แค่เพื่อความสวยงาม แต่ช่วยสร้างบรรยากาศที่เอื้อต่อการทำงาน การมีสมาธิ และการปฏิสัมพันธ์ระหว่างเพื่อนร่วมงาน

เหมือนกับวัฒนธรรมไทยที่ให้ความสำคัญกับความรู้สึกอบอุ่นและเป็นกันเอง พื้นที่ทำงานยุคใหม่จึงต้องออกแบบให้สร้างความรู้สึก ‘เหมือนบ้านหลังที่สอง’ ที่ทั้งสบาย ปลอดภัย และเป็นที่ที่พนักงานอยากมาทำงานทุกวัน ไม่ใช่แค่มีมุมสวยๆ ให้ถ่ายรูปลง Instagram เท่านั้น

การสร้างพื้นที่ที่กระตุ้นประสาทสัมผัสอย่างครบถ้วนนี้ จะช่วยปลดปล่อยฮอร์โมนแห่งความสุข สร้างความรู้สึกผูกพันกับองค์กร และส่งเสริมสุขภาวะโดยรวมของพนักงาน – ซึ่งเป็นสิ่งที่สำคัญกว่าการมีมุมถ่ายรูปสวย ๆ เพื่อโชว์ในโซเชียลมีเดียอย่างแน่นอน

 

2. เทรนด์มาแรง: พื้นที่ทำงานที่ตอบโจทย์เฉพาะบุคคล

เทรนด์ขาลง: พื้นที่เยอะแต่ไม่ตรงความต้องการ

‘วันนี้อยากทำงานที่ไหนดี?’ เป็นคำถามที่เริ่มเกิดขึ้นในสำนักงาน เพราะพื้นที่ทำงานในยุคใหม่ไม่ได้ถูกกำหนดด้วยตำแหน่งในองค์กร อายุ หรือแผนกที่สังกัด แต่ขึ้นอยู่กับความต้องการของพนักงานในแต่ละวัน

ลองนึกภาพคุณตื่นมาในวันที่อารมณ์ไม่ค่อยดี แทนที่จะต้องนั่งโต๊ะประจำในออฟฟิศเปิด คุณอาจเลือกมุมสงบในห้องสมาธิ หรือพื้นที่สีเขียวที่ช่วยผ่อนคลาย องค์กรยุคใหม่เข้าใจว่าประสิทธิภาพการทำงานไม่ได้มาจากการบังคับให้ทุกคนทำตามกฎเกณฑ์เดียวกัน แต่มาจากการเปิดโอกาสให้พนักงานได้เลือกสิ่งที่เหมาะกับตัวเองมากที่สุด

ตั้งแต่การให้เวลาทำงานที่ยืดหยุ่น (Flexible work hours) โปรแกรมพัฒนาทักษะ (Professional development) ไปจนถึงกิจกรรมเพื่อสุขภาพ (Wellness programs) – ทุกอย่างล้วนมีเป้าหมายเพื่อสร้างความรู้สึกมีคุณค่าและได้รับการสนับสนุน แนวคิดนี้สะท้อนถึงการให้ความสำคัญกับพนักงานแบบ ‘เข้าอกเข้าใจ’ ซึ่งนำไปสู่ความผูกพันกับองค์กรในระยะยาว

 

Photo by Redd Francisco on Unsplash

 

3. เทรนด์มาแรง: การมีส่วนร่วมอย่างแท้จริง

เทรนด์ขาลง: การแค่เข้ามานั่งในออฟฟิศ

ลืมภาพการทำงานแบบเดิม ๆ ที่แค่สแกนนิ้วเข้าออฟฟิศแล้วนั่งทำงานเงียบ ๆ คนเดียวไปได้เลย เพราะวัฒนธรรมองค์กรยุคใหม่คือการสร้างพลังร่วม ที่ทุกคนต้องลุกขึ้นมามีส่วนร่วมอย่างแข็งขัน ถ้าชอบอยู่คนเดียวก็เหมาะที่จะทำงาน Work from Home 

การทำงานเปรียบเหมือนการทำอาหารที่ต้องผสมผสานวัตถุดิบหลากหลายให้ลงตัว การทำงานยุคใหม่ก็ต้องอาศัยความร่วมมือและการแลกเปลี่ยนไอเดียจากทุกคนในทีม องค์กรชั้นนำจึงกำลังออกแบบพื้นที่ที่เอื้อต่อการระดมความคิด กล้าแสดงความเห็น และสร้างปฏิสัมพันธ์ระหว่างเพื่อนร่วมงาน

ไม่ว่าจะเป็นการใช้โต๊ะกลมสำหรับประชุมแบบไม่เป็นทางการ มุมกาแฟสำหรับพูดคุยแลกเปลี่ยนไอเดีย หรือพื้นที่ Co-Working ที่เปิดโอกาสให้ทุกคนได้ทำงานร่วมกัน – ทุกองค์ประกอบล้วนออกแบบมาเพื่อกระตุ้นให้พนักงานอยากมีส่วนร่วมและแสดงศักยภาพอย่างเต็มที่

  เพราะการสร้างทีมที่แข็งแกร่งไม่ได้วัดกันที่จำนวนชั่วโมงที่นั่งอยู่ในออฟฟิศ แต่อยู่ที่คุณภาพของการมีส่วนร่วมและพลังของการทำงานเป็นทีม

 

4. เทรนด์มาแรง: พื้นที่ส่วนรวมที่ใช้ประโยชน์ร่วมกัน

เทรนด์ขาลง: พื้นที่ส่วนตัว

แนวคิดการแบ่งปันพื้นที่กำลังเปลี่ยนโฉมการทำงานในออฟฟิศ ด้วยการจัดสรรพื้นที่ที่ทุกคนสามารถใช้ประโยชน์ร่วมกันได้อย่างคุ้มค่า

ตัวอย่างเช่น พื้นที่อเนกประสงค์ที่ปรับเปลี่ยนได้ตามการใช้งาน ห้องประชุมที่ใช้ร่วมกันระหว่างแผนก โซนทำงานที่สามารถใช้ได้หลายทีม หรือพื้นที่พักผ่อนที่เปิดให้ทุกคนเข้าถึงได้

การแบ่งปันพื้นที่แบบนี้ไม่เพียงช่วยประหยัดพื้นที่ แต่ยังสะท้อนวัฒนธรรมองค์กรที่เน้นการแบ่งปันและช่วยเหลือเกื้อกูลกัน ซึ่งสร้างบรรยากาศการทำงานที่อบอุ่นและมีชีวิตชีวา ต่างจากแนวคิดเก่าที่แต่ละคนหรือแต่ละแผนกมีพื้นที่เป็นของตัวเองแต่ไม่สามารถแบ่งปันหรือใช้ประโยชน์ร่วมกันได้

 

Photo by kate.spade on Unsplash

 

 

5. เทรนด์มาแรง: จุดทำงานยืดหยุ่น

เทรนด์ขาลง: โต๊ะทำงานประจำ

ลืมภาพโต๊ะทำงานที่มีป้ายชื่อติดประจำไปได้เลย เพราะออฟฟิศยุคใหม่นั้นใช้ ‘พื้นที่ทำงานยืดหยุ่น’ ที่ใคร ๆ ก็สามารถใช้งานได้ตามความต้องการตลอดทั้งวัน

เปรียบเหมือนร้านกาแฟที่คุณสามารถเลือกนั่งตรงไหนก็ได้ตามความชอบ จุดทำงานยืดหยุ่นก็เปิดโอกาสให้พนักงานได้เลือกพื้นที่ที่เหมาะกับงานและอารมณ์ในแต่ละช่วงเวลา ไม่ว่าจะเป็น

  • มุมเงียบสงบสำหรับงานที่ต้องใช้สมาธิสูง
  • โซนทำงานร่วมกันสำหรับประชุมทีม
  • พื้นที่สบาย ๆ แบบเลานจ์สำหรับพูดคุยอย่างไม่เป็นทางการ

แนวคิดนี้ไม่เพียงช่วยใช้พื้นที่ให้คุ้มค่า แต่ยังสร้างบรรยากาศการทำงานที่มีชีวิตชีวา กระตุ้นให้เกิดการแลกเปลี่ยนไอเดียระหว่างทีม และรองรับการทำงานแบบไฮบริดที่พนักงานบางส่วนอาจทำงานจากที่บ้าน ต่างจากยุคเก่าที่ทุกคนต้องนั่งติดโต๊ะประจำตลอดทั้งวัน

 

6. เทรนด์มาแรง: จัดที่นั่งตามสไตล์การทำงาน 

เทรนด์ขาลง: จัดที่นั่งตามแผนผังองค์กร

การที่ทีมขายและทีมคอนเทนต์รายงานตรงต่อผู้บริหารคนเดียวกัน ไม่ได้หมายความว่าต้องนั่งทำงานใกล้กัน เทรนด์ใหม่ของการออกแบบพื้นที่ทำงานเน้นไปที่การจัดกลุ่มคนที่มีสไตล์การทำงานคล้ายกันให้อยู่ใกล้กัน เพื่อเพิ่มประสิทธิภาพและสร้างบรรยากาศที่เอื้อต่อการทำงานร่วมกัน

จากผลสำรวจ Global Workplace Survey 2024 ของ Gensler พบว่า 82% ของพนักงานที่มีความสัมพันธ์ที่ดีในที่ทำงานมักนั่งทำงานใกล้กับทีมของตน และคนกลุ่มนี้มีโอกาสรับรู้ว่าเพื่อนร่วมงานกำลังทำอะไรอยู่มากกว่าคนที่นั่งแยกจากทีมถึงสองเท่า

ลองนึกภาพทีมครีเอทีฟที่ชอบระดมไอเดียเสียงดังนั่งรวมกันในโซนที่ออกแบบมาเพื่อการทำงานแบบร่วมกัน ขณะที่ทีมบัญชีที่ต้องการสมาธิสูงก็มีพื้นที่เงียบสงบเป็นของตัวเอง การจัดพื้นที่แบบนี้ช่วยให้

  • แชร์ไอเดียได้ทันทีที่นึกออก
  • ขอความเห็นหรือคำแนะนำได้แบบทันที
  • สร้างวัฒนธรรมการช่วยเหลือเกื้อกูลกัน

ปล่อยให้ทีมที่มีสไตล์การทำงานและความต้องการคล้ายกันได้อยู่ใกล้กัน แล้วดูการทำงานที่ลื่นไหลและมีประสิทธิภาพเกิดขึ้นเอง แทนที่จะยึดติดกับการจัดที่นั่งตามแผนผังองค์กรแบบเดิมๆ

 

Photo by Priscilla Du Preez on Unsplash

 

 

7. เทรนด์มาแรง: การร่วมสร้างสรรค์

เทรนด์ขาลง: การประชุมแบบเดิม ๆ

ยุคนี้หลายองค์กรเริ่มที่จะลดการประชุมน่าเบื่อที่มีแต่คนนั่งฟังพรีเซนต์หรือรายงานผ่าน Zoom แล้ว เพราะกระบวนการทำงานยุคใหม่กำลังเปลี่ยนไปสู่การ ‘ร่วมสร้างสรรค์’ ที่ทุกคนมีส่วนร่วมตั้งแต่เริ่มต้น ไม่ว่าจะเป็นพนักงาน ลูกค้า หรือพาร์ทเนอร์

เปรียบเหมือนการทำอาหารไทยในครัวใหญ่ ที่ทุกคนช่วยกันปรุง ชิม และปรับรสจนได้รสชาติที่ลงตัว การร่วมสร้างสรรค์ก็เป็นเหมือนการเปิดครัวให้ทุกคนได้ แบ่งปันมุมมองที่แตกต่าง ผสมผสานความเชี่ยวชาญของแต่ละคน

เมื่อทุกคนได้มีส่วนร่วมตั้งแต่ต้นช่วยสร้างความรู้สึกเป็นเจ้าของและความภูมิใจร่วมกัน ซึ่งมีพลังกว่าการนั่งฟังรายงานในที่ประชุมแบบเดิมๆ อย่างแน่นอน

 

8. เทรนด์มาแรง: เอกลักษณ์ท้องถิ่นที่แท้จริง

เทรนด์ขาลง: มาตรฐานแบบสากลที่เหมือนกันทั่วโลก

หมดยุคของออฟฟิศที่ยึดโยงกับ Corporate Identity ที่ดูเหมือนกันไปหมดทั่วโลกได้เลย เพราะองค์กรยุคใหม่กำลังหันมาให้ความสำคัญกับการออกแบบที่สะท้อนวัฒนธรรมและจิตวิญญาณของแต่ละพื้นที่อย่างแท้จริง

ลองนึกภาพออฟฟิศในกรุงเทพฯ ที่ผสมผสานความทันสมัยเข้ากับความเป็นไทย เช่น ล็อบบี้ตกแต่งด้วยงานคราฟต์จากศิลปินท้องถิ่น, ห้องประชุมที่ใช้ชื่อย่านประวัติศาสตร์ในกรุงเทพฯ เป็นต้น

ขณะที่ออฟฟิศในเชียงใหม่อาจเน้นงานหัตถกรรมล้านนา ออฟฟิศในภูเก็ตอาจสะท้อนวิถีชีวิตริมทะเล – แม้จะมีฟังก์ชันการใช้งานเหมือนกัน แต่บรรยากาศและการตกแต่งของแต่ละที่จะมีเอกลักษณ์เฉพาะตัว

การออกแบบที่เชื่อมโยงกับท้องถิ่นแบบนี้ไม่เพียงสร้างความภูมิใจในท้องถิ่นของตน แต่ยังทำให้ผู้มาเยือนได้สัมผัสประสบการณ์ที่แตกต่างและน่าประทับใจ ต่างจากออฟฟิศแบบเดิมที่ใช้มาตรฐานเดียวกันทั่วโลกจนขาดความมีชีวิตชีวา

 

9. เทรนด์มาแรง: ออฟฟิศที่เชื่อมต่อกับชุมชน

เทรนด์ขาลง: ออฟฟิศที่แยกตัวจากสังคม

อดีตออฟฟิศเป็นพื้นที่ส่วนตัวที่ปิดกั้นตัวเองแยกจากชุมชนโดยรอบ แต่พื้นที่ทำงานยุคใหม่กำลังเปลี่ยนไปสู่การเป็น ‘สะพาน’ ที่เชื่อมต่อผู้คนและชุมชนเข้าด้วยกัน เราเห็นตัวอย่างนี้ได้จากย่านธุรกิจในกรุงเทพฯ อย่างสาทร-สีลม ที่อาคารสำนักงานสมัยใหม่กำลังปรับตัว 

  • เปิดพื้นที่ชั้นล่างให้เป็นลานกิจกรรมสาธารณะ
  • สร้างพื้นที่สีเขียวที่ชุมชนสามารถเข้ามาใช้ได้
  • จัดให้มีร้านค้าและร้านอาหารที่ตอบโจทย์ทั้งพนักงานและคนในละแวก
  • สนับสนุนกิจกรรมท้องถิ่นและงานศิลปะชุมชน

แทนที่จะพยายามมีทุกอย่างภายในอาคาร องค์กรยุคใหม่เลือกที่จะส่งเสริมให้พนักงานออกไปใช้บริการร้านค้าในชุมชน สร้างการหมุนเวียนทางเศรษฐกิจ และเชื่อมความสัมพันธ์กับย่านที่ตั้ง แนวคิดนี้ไม่เพียงทำให้พื้นที่ทำงานมีชีวิตชีวามากขึ้น แต่ยังช่วยสร้างระบบนิเวศทางสังคมที่ยั่งยืน ต่างจากออฟฟิศแบบเก่าที่ปิดกั้นตัวเองจากชุมชนโดยรอบ

 

Photo by yann maignan on Unsplash

 

 

10. เทรนด์มาแรง: การออกแบบที่ใส่ใจทุกความต้องการ

เทรนด์ขาลง: การออกแบบที่ทุกคนเหมือนกัน

หัวใจของการออกแบบพื้นที่ทำงานยุคใหม่ไม่ใช่แค่การสร้างพื้นที่ที่ ‘ใช้ได้’ แต่เป็นการสร้างพื้นที่ที่ ‘ใช่’ สำหรับทุกคน โดยไม่มองข้ามความแตกต่างของแต่ละบุคคล ไม่ว่าจะเป็น ความหลากหลายทางวัฒนธรรม, ช่วงวัยและ Generation ที่แตกต่าง,ความต้องการทางกายภาพที่แตกต่าง ฯลฯ

แนวคิดใหม่นี้เปลี่ยนจากการ ‘ออกแบบให้’ มาเป็นการ ‘ออกแบบด้วยกัน’ โดยเปิดโอกาสให้ทุกคนมีส่วนร่วมในการออกแบบพื้นที่ที่ตนต้องใช้งาน เช่น

  • ปรึกษาผู้ใช้วีลแชร์เรื่องความกว้างทางเดินและความสูงโต๊ะทำงาน
  • รับฟังความต้องการของพนักงานมุสลิมในการจัดพื้นที่ละหมาด
  • จัดเตรียมพื้นที่เงียบสงบสำหรับผู้ที่ต้องการสมาธิในการทำงานสูง
  • ออกแบบป้ายและสัญลักษณ์ที่เข้าใจง่ายสำหรับทุกคน

เพราะการทำงานที่มีประสิทธิภาพเกิดขึ้นได้เมื่อทุกคนรู้สึกว่าตัวเองมีคุณค่าและเป็นส่วนหนึ่งขององค์กรอย่างแท้จริง ไม่ใช่แค่การออกแบบแบบเหมารวมที่คิดว่าทุกคนมีความต้องการเหมือนกัน

 

Photo by Austin Distel on Unsplash

 

 

เสียงสะท้อนจากพนักงานออฟฟิศยุค 2025 เปลี่ยนจาก ‘ออฟฟิศสวยนะ’ เป็น ‘ว้าว! ชอบมาก!’ เพราะพื้นที่ทำงานต้องดึงดูดให้พนักงานอยากเดินทางมาทำงานทุกวัน ไม่ต่างจากร้านอาหารที่ต้องสร้างประสบการณ์ที่เหนือกว่าการกินที่บ้าน

เปรียบเหมือนร้านกาแฟประจำของเรา ที่พนักงานจำได้ว่าคุณชอบกาแฟแบบไหน มีมุมประจำ และมีเพลงที่คุณชื่นชอบเปิดคลอเบาๆ – ออฟฟิศในอนาคตก็ต้องเข้าใจและตอบสนองความต้องการของพนักงานได้แบบนั้น ไม่ว่าคุณจะอารมณ์ดีหรือเจอวันที่แย่ๆ

“เพราะออฟฟิศยุคใหม่ไม่ใช่แค่ที่ทำงาน แต่ต้องเป็นจุดหมายปลายทางที่ทำให้การเดินทางออกจากบ้านในทุกๆ วันมีความหมายและคุ้มค่า”

 

_______________________________

 

Transformation Economy คือการเปลี่ยนผ่านครั้งสำคัญของโลกการทำงาน ที่ไม่ได้วัดความสำเร็จแค่ผลงานหรือตัวเลข แต่ให้ความสำคัญกับการเติบโตและพัฒนาของคนในองค์กร

จาก “สิ่งที่เราทำ” สู่ “สิ่งที่เราเป็น” หมายถึง

การทำงานแบบเดิม:

  • เน้นการทำงานให้เสร็จตามเป้า
  • วัดผลด้วยตัวเลขและผลงาน
  • มองคนเป็นทรัพยากรในการผลิต
  • ทำงานเพื่อเงินเดือนและผลตอบแทน

การทำงานในยุค Transformation

  • เน้นการพัฒนาศักยภาพของคน
  • วัดผลจากการเติบโตและการเปลี่ยนแปลง
  • มองคนเป็นผู้สร้างคุณค่าและนวัตกรรม
  • ทำงานเพื่อค้นพบและพัฒนาตัวเอง

ตัวอย่างที่เห็นได้ชัด

  • แทนที่จะแค่สอนวิธีทำงาน องค์กรเน้นการสร้างทักษะใหม่ ๆ ที่จะติดตัวไปตลอดชีวิต
  • แทนที่จะวัดแค่ยอดขาย องค์กรให้ความสำคัญกับการพัฒนาความเป็นผู้นำของพนักงาน
  • แทนที่จะทำงานแบบเดิมๆ องค์กรสนับสนุนให้พนักงานได้ทดลองสิ่งใหม่และเรียนรู้จากความผิดพลาด

 

นี่คือยุคที่ ‘ที่ทำงาน’ ไม่ใช่แค่สถานที่ทำเงิน แต่เป็นพื้นที่แห่งการเติบโตและค้นพบตัวเอง ที่ซึ่งทุกคนได้พัฒนาทั้งทักษะ ความคิด และตัวตน จนกลายเป็นเวอร์ชันที่ดีขึ้นของตัวเองในทุก ๆ วัน